การซ่อมบำรุงจอแสดงผล และเครื่องพิมพ์
จอคอมพิวเตอร์มีกี่ชนิด อะไรบ้าง จออคอมพิวเตอร์มีหลายชนิดด้วยกัน โดยเราสามารถแบ่งจอคอมพิวเตอร์เป็นชนิดใหญ่ๆได้ 3 ชนิดด้วยกันคือ
1. จอแสดงผลแบบ CRT (Cathode Ray Tube Monitor) ซึ่งเป็นจอแสดงผลที่รับสัญญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) โดยมีการพัฒนาจอแสดงผล CRT มาจากจอโทรทัศน์ในสมัยนั้น โดยผู้ที่ริเริ่มในการสร้างจอแสดงผลแบบนี้คือ บริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งในยุคต้น ๆจอแสดงผลจะยังไม่สามารถแสดงกราฟฟิกต่าง ๆได้เหมือนกับในปัจจุบันโดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ CRT นั้นจะทำงานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพเหมือนกับในโทรทัศน์ โดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ซึ่งมีสารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอยู่ที่ผิว เมื่อถูกแสงอิเล็กตรอนมากระทบ สารเหล่านี้จะเกิดการเรืองแสงขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นภาพและสีตามสัญญาณ Analog ที่ได้รับมานั่นเอง ในปัจจุบันจอแสดงผลแบบ CRT นั้นเริ่มจะไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะว่ามีจอแสดงผลแบบใหม่มาทดแทนที่มีคุณสมบัติด้านการแสดงผลที่ดีกว่า
จอคอมพิวเตอร์แบบ CRT
2. จอแสดงผลแบบ LCD (Liquid Crystal Display) เป็นจอแสดงผลรุ่นที่สองต่อจากจอแสดงผลแบบ CRT ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2506 ในสมัยแรกๆจอ LCD นั้นเริ่มใช้งานจริงๆในนาฬิกาและเครื่องคิดเลข เป็นจอแสดงผลตัวเลขขนาดเล็ก โดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ LCD นั้นจะใช้วัสดุประเภทผลึกเหลว (Liquid Crystal) มาใส่ไว้ในผิวของกระจก ใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดสีขึ้น
ซึ่งข้อดีของจอแสดงผลแบบ LCD มีหลายอย่างแต่ที่เห็นได้ชัดคือจอ LCD จะประหยัดพลังงานมากกว่าจอแบบ CRT แต่ในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกันคือ จอ LCD คือมุมมองสำหรับการเห็นภาพค่อนข้างแคบ
จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD
3. จอแสดงผลแบบ LED ( Light-emitting-diod) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อทางการตลาด โดยชื่อจริงของเทคโนโลยีนี้คือ OLED (Organic Light Emitting Devices) โดยมีหลัการทำงานที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนเท่าไรด้วยการนำหลอดLED มาเรียงรายกันเป็นแถว โดยภาพต่างๆจะเกิดขึ้นจากการติดดับของหลอด LED ทำให้เกิดภาพและสีที่ได้ชัดเจนกว่าจอแสดงผลแบบอื่น ๆโดยจอแสดงผลแบบ LED นี้เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนและปิดจุดบกพร่องของจอแสดงผลแบบ LCD ซึ่งจอแบบ LED นั้นจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของมุมมอง และอัตราการตอบสนองของภาพที่ไวกว่าแบบจอ LCD นอกจากนั้นจอแบบ LED ยังประหยัดไฟฟ้าได้ดีกว่าแบบ LCD อีกด้วย
จอคอมพิวเตอร์แบบ LED
จอแสดงผลทุกแบบต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ถึงแม้เทคโนโลยีจอแสดงผลแบบ LED ใหม่ล่าสุดและดีที่สุดในตอนนี้แต่ปัญหาเรื่องราคาที่สูงมาก เมื่อเทียบกับจอแสดงผลรุ่นเก่าที่มีราคาถูกกว่า ในปัจจุบันเรายังพบเห็นการใช้งานจอแสดงผลแบบ CRT และ LCD อยู่ และคาดว่าในอนาคตเทคโนโลยี LED จะมีราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน
จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลผลลัพธ์ (Output) มีรูปร่างลักษณะคล้ายเครื่องรับโทรทัศน์ สามารถแสดง ผลได้ทั้งตัวหนังสือ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว

จอภาพโดยทั่วไปมีทั้งที่เป็นสีเดียว (Monochrome) อาจจะเป็นสีเทา สีส้ม หรือสีขาว บนสีดำ และจอภาพแบบหลายสี (Colour) สามารถแสดงสีได้ตั้งแต่ 16,256, 65,536 และ 16,177,216 สี ปัจจุบันนิยมใช้จอภาพสีมากกว่าจอสีเดียว
ขนาดความกว้างของจอภาพมีหลายขนาด ที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปคือ ขนาด 14 และ 15 นิ้ว แล้วถ้าใช้งานสิ่งพิมพ์หรือ ออกแบบกราฟิก อาจใช้จอใหญ่มากขึ้น ขนาด 17 หรือ 21 นิ้ว ซึ่งก็จะมีความละเอียดในการแสดงผลมากน้อยไม่เท่า กัน โดยความละเอียดของภาพจะมีหน่วยเป็น พิกเซล (Pixel) ในแนวตั้งและแนวนอน เช่น 640x480, 800x600, 1,024x768, 1,280x1,024 เป็นต้น ยิ่งมีขนาดของพิกเซลมาก ขนาดของภาพจะมีความละเอียดสูงมากขึ้น ทำให้มี เนื้อที่ใช้งานบนจอมากขึ้น
ลักษณะของจอภาพ มีดังนี้
1. จอภาพแบบ VGA (Video Graphics Array) มีความละเอียดของพิกเซล 640x480 จุด เหมาะสำหรับการใช้ งานตามบ้านทั่ว ๆ ไป มีขนาดของจอภาพ 14 หรือ 15 นิ้ว
2. จอภาพแบบ SVGA (Super Video Graphics Array) จะมีความละเอียดของพิกเซล 800x600 จุด เหมาะ สำหรับใช้ในงานธุรกิจ หรือตามสำนักงานทั่ว ๆ ไป ขนาดที่นิยมคือ 14 หรือ 15นิ้ว ส่วนจอที่มีความละเอียดของ พิกเซล 1,280x1,024 จุด เหมาะสำหรับใช้ในงานออกแบบกราฟิกต่าง ๆ
จอภาพในปัจจุบันจะเน้นเรื่องความปลอดภัยต่อผู้ใช้จากการแผ่รังสี เพราะหากเป็นจอรุ่นเก่า รังสีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่ออกมาจากจออาจเป็นอันตรายต่อสายตาได้ ผู้ใช้จีงควรหาแผ่นกรองแสงมาติดไว้ที่จอภาพก็จะช่วยได้และปัจจุบัน จอภาพที่ใช้จะมีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ถึงเราจะเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้ใช้งานก็จะไม่สิ้นเปลืองพลังงาน มาก นอกจากนี้ในโปรแกรมวินโดวส์ยังมีสกรีนเซฟเวอร์ช่วยในการถนอมจอภาพด้วย
Monotor Technology
จอภาพทำงานโดยการแสดงภาพ ซึ่งอาจเป็นภาพกราฟิกหรือตัวอักษร ซึ่งเกิดจากการประมวลผลของการ์ดวีจีเอ (VGA Card) จอภาพแบ่งเป็น 2 ประเภท คือจอภาพสีเดียวหรือจอภาพโมโนโครม (Monochrome) และจอสี ( Color Monitor) ปัจจุบันจอภาพสีเดียวนั้นไม่เป็นที่นิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ หากจะมีใช้ก็เฉพาะงานเฉพาะอย่างเท่านั้น ส่วนที่นิยมใช้ก็คือจอสี โดยแบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภท คือจอสีวีจีเอ (VGA = Video Graphics Array) และจอสี Super VGA (SVGA = Super Video Graphics Array ) และจอ LCD (Liquid Crystal Display) ซึ่งประเภทหลังนี้มีราคาแพงมาก จอภาพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือจอ SVGA เนื่องจากมีราคาไม่แพงมากนัก และเหมาะกับ Application ที่ออกแบบให้มีความสามารถแสดงภาพกราฟิก นอกจากนี้ Application ประเภทมัลติมีเดียหรือเกมส์ต่างๆ ต่างก็ต้องการจอภาพที่มีความละเอียดสูง (High Resolution) สามารถแสดงสีได้หลายๆสี
จอภาพมีหลักการทำงานแบบเดียวกับจอโทรทัศน์โดยจะมีกระแสไฟฟ้าแรงสูง ( High Voltage) คอยกระตุ้นให้อิเล็กตรอนภายในหลอดภาพแตกตัว อิเล็กตรอนดังกล่าวจะทำให้เกิดลำแสงอิเล็กตรอนไปกระตุ้นผลึกฟอสฟอรัสที่ฉาบอยู่บนหลอดภาพ เมื่อฟอสฟอรัสถูกกระตุ้นจากอิเล็กตรอนจะเกิดการเรืองแสงและปรากฏเป็นจุดสีต่างๆ (RGB Color) ซึ่งรวมเป็นภาพบนจอภาพนั่นเอง
ความเป็นมาของการ์ดวีจีเอ
การ์ดวีจีเอหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ VGA Adapter Card ทำหน้าที่ควบคุมการแสดงผลของจอภาพ โดยข้อมูลที่จะแสดงจะถูกส่งจากซีพียูมายังการ์ดวีจีเอ เพื่อประมวล ในขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลจากดิจิตอลเป็นอนาล๊อก แล้วส่งไปยังวงจรควบคุมสี (RGB Circuit) ของจอภาพ เพื่อให้ปรากฎเป็นภาพบนหน้าจอ
สถาปัตกรรมของการ์ดวีจีเอ
แรกทีเดียว การ์ดวีจีเอใช้อินเทอร์เฟซ (Interface) แบบ VESA Local BUS สามารถประมวลผลแบบ 16 บิต ต่อมา เมื่อการพัฒนาคอมพิวเตอร์เป็นไปในระดับสูงขึ้น Intel แนะนำ PCI Interface สู่ตลาด ภาคอินเตอร์เฟซของการ์ดวีจีเอจึงเปลี่ยนมาเป็น PCI เพราะมี Bandwidth สูงกว่า สามารถประมวลผลและส่งข้อมูลได้เร็วกว่า คือประมวลผลได้ 32 บิต และตัวการ์ดเอง ชิปประมวลผลทำงานภายในโดยการประมวลผลที่ 64 บิต ต่อมาในปี 2540 อินเทลได้พัฒนาพอร์ต AGP (Accelerator Graphic Port) ขึ้นมาสำหรับการ์ดแสดงผลโดยเฉพาะ เนื่องจากเห็นว่าพอร์ตแบบ PCI นั้นเป็นพอร์ตเอนกประสงค์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงประเภทอื่นมากกว่าที่จะเหมาะสำหรับการ์ดแสดงผล ตามสถาปัตยกรรมของ AGP ภาคอินเตอร์เฟซของการ์ดจะติดต่อกับเมนบอร์ดแบบ 64 บิต
หากดูบนการ์ดจีเอ จะพบส่วนประกอบที่สำคัญๆ คือ ชิปประมวลผลกราฟิก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการ์ด ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่รับจากซีพียู เมื่อการประมวลผลเสร็จสิ้นจะส่งข้อมูลไปให้กับจอภาพ โดยผ่านวงจร RGB (Red Green Blue Circuit) เพื่อประมวลเป็นภาพต่อไป สำหรับชิปเซ็ตของวีจีเอนั้นมีผู้ผลิตหลายยี่ห้อ และได้รับการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จากชิปเซ็ตธรรมดา เป็นชิปเซ็ตสำหรับแสดงภาพ2 มิติและล่าสุดสำหรับ 3 มิติ ความเร็วของการประมวลผล กลไกและอัลกอริทึมของการประมวลผลทำให้การ์ดวีจีเอที่ใช้ชิปคนละตัวมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน
ศัพท์ที่ควรทราบเกี่ยวกับจอภาพ
Dot Pitch(Phosphor Pitch )
Dot Pitch (Phosphor Pitch) คือความห่างระหว่างจุดของฟอสฟอรัสซึ่งฉาบอยู่บนหลอดภาพ ถ้าจุดแต่ละจุดห่างกันน้อยก็จะทำให้ภาพละเอียดมากขนาดระหว่างจุดของฟอสฟอรัสนั้นมีหลายขนาด เช่น 0.25, 0.26, 0.28, 0.29, 0.31ฯลฯ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ตัวเลขดังกล่าวนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะแสดงว่าความห่างระหว่างผลึกฟอสฟอรัสยิ่งน้อยจะยิ่งแสดงภาพได้ละเอียดมากขึ้น เมื่อนำขนาดของความห่างและความละเอียดของการแสดงภาพมากำหนดประเภทของจอภาพจะได้ประเภทของจอภาพดังต่อไปนี้
จอสีวีจีเอ ขนาด 14 นิ้ว ( 640 x 480 ) สามารถแสดงรูปขนาด 11.2 x 8.4 นิ้ว จะมีขนาดพิกเซลประมาณ 0.018 นิ้วหรือ 0.44 มิลลิเมตร ( ต้องไม่มากกว่านี้ )
จอสีซุปเปอร์วีจีเอ ขนาด 14 นิ้ว (1024 x 768 ) จะมีขนาดของพิกเซล 0.28 มิลลิเมตร (ต้องไม่มากกว่านี้)
Interlaced & Non-Interlaced
Interlaced คือการแสดง(สร้าง)ภาพแบบสลับเส้น ตัวอย่างเช่นในโทรทัศน์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะใช้การแสดงภาพแบบ 625 เส้น และสลับการ Scan ภาพจากหน้าจอที่เห็นจะเกิดจากการ Scan ให้เกิดภาพ 2 รอบ โดยที่รอบแรกจะ Scan เส้นคู่ คือ 2,4, 6... จนครบ 624 รอบที่สองจะ Scan เส้นคี่คือ 1,3,5... .จนครบ 625
Non-Interlaced คือ Scan ภาพแบบต่อเนื่อง เรียงจากเส้นที่ 1 จนจบจอภาพ จอภาพแบบนี้จะเหมาะกับคอมพิวเตอร์มากกว่าแบบแรกเพราะการต่อของจุดจะต่อเนื่องและลดการสั่นไหวของภาพ
สรุปก็คือ จอภาพแบบ Non-Interlaced คือจอภาพที่ไม่มีการกระโดดข้ามในเวลาที่ปืนยิงอิเล็คตรอน ยิงจุดออกมา โดยจะยิงออกมาจากบนลงล่างทีละเส้นต่อๆกันไป ส่วนจอภาพแบบ Interlacedการยิงออกมามีการกระโดดแถวเว้นแถวเพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่ยังให้ภาพออกมาในระดับที่ใกล้เคียงแบบ Non Interlaced
Low-Radiation
Low-Radiation คือมีการกระจายรังสีต่ำ ตามมาตรฐาน MPR-II ของ SSI (Swedish National Institute of Radiation Protection) จอภาพที่มีการกระจายรังสีจะช่วยถนอมสายตา เนื่องจากการทำงานบนคอมพิวเตอร์นาน ๆ การทดสอบว่าจอภาพมีการกระจายรังสีต่ำหรือไม่นั้นทดสอบได้โดยเปิดสวิตช์จอภาพแล้วลองเอามือหรือช่วงแขนไว้ใกล้จอภาพให้มากที่สุด ถ้ารู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตย์แสดงว่าเป็นจอภาพแบบธรรมดา (หรือจะทดลองกับจอโทรทัศน์ก่อนก็ได้เพื่อจำความรู้สึก ยกเว้นว่าโทรทัศน์ก็เป็นแบบ Low Radiation ถ้าเป็นจอภาพ Low-Radiation จะแทบไม่รู้สึกเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตย์เลย
Resolution
Resolution คือความละเอียดของการแสดงภาพหรือสแกนภาพออกมาได้ความละเอียดมากเท่าไร ความสามารถในการแสดงภาพได้ละเอียดมากขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของจอภาพ VGAจะแสดงภาพได้ละเอียดน้อยกว่า SVGA ยิ่งกำหนดความละเอียดในการแสดงสีมากเท่าไร ภาพจะละเอียดมากขึ้น แต่ตัวอักษรบนจอภาพจะเล็กลง โดยจะบอกเป็นค่าสองค่า อย่างเช่น 1024 x 768 ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้วก็ คือจำนวนจุดที่จอภาพสามารถผลิตออกมาได้ ในกรณีนี้ เลขตัวแรกคือ Vertical คือจำนวนเส้นในแนวตั้งเท่ากับ 1024 เส้น เลขตัวต่อมาคือ Horizontal คือจำนวนเส้นในแนวนอนเท่ากับ 768 เส้น เมื่อเอาตัวเลข 2 ตัว มาคูณกัน ผลลัพธ์คือจำนวนจุดบนจอภาพซึ่งคือ ความละเอียด (Resolution)
การตรวจสอบอาการเสียของคอมพิวเตอร์และหลักการแก้ไขเบื้องต้น
การตรวจสอบอาการเสียของเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป (End user) นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงแล้วนั้น อาการผิดปรกติของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น อาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดก็ได้ เพียงแค่เรารู้จักอาการเสียว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชิ้นใด อาการเสียมากน้อยเพียงใด และมีวิธีการแก้ไขได้อย่างไร ก็จะทำให้ผู้ใช้ไม่เสียเปรียบร้านซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์
หลักการตรวจซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์เบื้องต้นนั้น มีหลักการตามลักษณะการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ กล่าวคือ เมื่อต้องตรวจหาสาเหตุของการเสีย ก็ต้องรู้วิธีการทำงานของเครื่องก่อน จากนั้นจึงจะเริ่มตรวจสอบกระบวนการการทำงานของเครื่องว่าไปติดขัดที่ขั้นตอนใดดังนี้
î ไฟเลี้ยง
เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าธรรมดานั่นเอง ดังนั้นปัญหาจากไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก อาการเสียที่มักจะพบจากปัญหาของไฟฟ้าคือไฟไม่เข้าเครื่องเลยซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาต่าง ๆ ได้แก่
Ø ไม่มีไฟเข้า เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้เลย เพราะไม่มีไฟเลี้ยง สาเหตุนั้นอาจมาจากกระแสไฟฟ้าเอง คือไฟดับซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หากไฟฟ้ายังมาปรกติดีให้ตรวจดูสายไฟซึ่งอาจขาดก็ได้ หากขาดก็ควรเปลี่ยนไปเลย ไม่ควรนำมาเชื่อมต่อใหม่เอง
Ø หากไม่แน่ใจว่าเป็นปัญหามาจากเครื่องสำรองไฟ (UPS) เสียก็ให้ทดลองเสียสายไฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านเครื่องสำรองไฟ หากใช้งานได้ก็แสดงว่าเป็นปัญหามาจากเครื่องสำรองไฟ
Ø จากนั้นแล้วลองตรวจดูแหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) อาจเสียก็ได้ให้ลองดมดูกลิ่นไหม้ว่ามาจากตัวแหล่งจ่ายไฟเองรึเปล่า หากมีกลิ่นไหม้แสดงว่ามีอุปกรณ์เสียหายภายในตัวแหล่ง จ่ายไฟ ซึ่งไม่ควรซ่อมแซมเองเพราะอาจเป็นอันตรายได้ ให้ส่งซ่อมจะดีกว่า
Ø หากทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นปรกติดี ก็ให้ตรวจดูว่าสายไฟเลี้ยงที่เข้าสู่เมนบอร์ดว่าเสียบรึยัง แน่หรือเปล่า จากนั้นก็ตรวจดูว่าสวิทช์(Switch)สำหรับเปิดปิดเครื่องได้ถูกต่อเข้าเมนบอร์ดถูกต้องแล้วหรือยัง
Ø หากยังใช้ไม่ได้ ก็น่าจะเป็นอุปกรณ์รอบข้างที่เสียบอยู่กับเครื่อง ให้ลองถอดอุปกรณ์ออกทีละชิ้น แล้วดูว่าชิ้นไหนที่ถอดออกแล้วเครื่องทำงานได้ แสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นมีปัญหาคืออาจทำให้เมนบอร์ดลัดวงจรทำให้เครื่องเปิดไม่ติด
Ø หากว่าทุกอย่างถูกต้องแล้วก็สันนิษฐานได้ว่าเมนบอร์ดเสียนั่นเอง
î อุปกรณ์ต่อพ่วง
อาการเสียที่เกิดจากอุปกรณ์ต่อพวงได้แก่
Ø จอภาพ หลายครั้งที่เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วดูเหมือนทุกอย่างจะทำงานเป็นปรกติยกเว้นที่ไม่มีภาพออกจากจอภาพ บางครั้งก็เป็นเพราะไม่ได้เสียบสาบไฟเข้าจอภาพ หรือสายไฟหลวม หากไฟเข้าจอภาพแน่นอนแล้วแต่ยังไม่มีภาพปรากฏ ให้ทดลองปรับแสงสว่างของจอภาพได้แก่ Brightness และ Contrast โดยการปรับค่าทั้ง 2 อย่างไปมา
Ø การ์ดแสดงผล หากว่าจอภาพเป็นปรกติดี แต่ไม่มีภาพแสดงออกที่จอภาพ ให้ลองตรวจดูว่าสายสัญญาณจากจอภาพเสียบเข้ากับการ์ดแสดงผลหรือยัง แน่นหรือไม่ หากไม่แน่น บางทีอาจเกิดอาการที่มีภาพแต่สีเพี้ยน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการที่ขาสัญญาณจากจอภาพที่มี 15 ขา (15 pin) หักหรืองอไปบางขา หากงอ เราสามารถดัดเองได้โดยการใช้คีมปากจิ้งจกหรือคีมที่มีปลายเล็กช่วยดัด หากทุกอย่างเป็นปรกติดแล้วอาจเป็นปัญหามาจากการ์ดแสดงผลเองก็ได้ ให้ลองหาดูรอยไหม้หรือรอยขีดข่วนบนตัวการ์ด
- คีย์บอร์ด หรือเม้าส์ เมื่อมีภาพปรากฏแล้วแต่ไม่สามารถพิมพ์หรือใช้เม้าส์ได้ ลองตรวจดูว่าได้เสียบเข้ากับเมนบอร์ดหรือยัง แน่นหรือไม่ หรือลองตรวจดูขาของทั้งคีย์บอร์ด และเม้าส์ว่ามีขาใดหักหรืองอหรือไม่
- การ์ดเสียงและลำโพง หากเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เป็นปรกติดี แต่ไม่มีเสียงออก ก็ลองตรวจดูว่าการ์ดเสียงเสียบลงเมนบอร์ดแน่นหรือไม่ หากแน่นแล้วลองตรวจดูว่าสายลำโพงได้เสียบเข้ากับการ์ดเสียงหรือไม่ เสียบถูกช่องหรือไม่ โดยปรกติแล้วช่องสำหรับเสียบลำโพงบนการ์ดเสียงจะเขียนไว้ว่า “Speaker” หรือ อาจเป็นสัญลักษณ์รูปลำโพง หากเสียบถูกต้องแล้วลองดูว่าสายสัญญาณของลำโพงขาดหรือไม่ หรือหัวต่อหลวมหรือไม่
- ดิสก์ ปัญหาที่น่าจะได้รับการเอาใจใส่มากที่สุดคือปัญหาที่เกี่ยวกับดิสก์ ทั้งฮาร์ดดิสก์ และฟล็อปปี้ดิสก์ เพราะดิสก์เป็นที่เก็บข้อมูลนั่นเอง หากได้ยินเสียงของดิสก์เวลาที่เปิดเครื่องแล้วแสดงว่าดิสก์อาจมีปัญหา หรือเมื่อทำการตรวจหาจุดเสียบนดิสก์ (Scan disk) แล้วพบจุดเสีย ให้รีบทำการสำเนาข้อมูลต่าง ๆ ไปที่อื่นก่อน อาจเขียนลงแผ่นซีดีหรือไปเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย อย่าทำการสำเนาไว้ในเครื่องเดียวกันแม้ว่าจะเป็นพาร์ทิชั่น(Partition) อื่น เพราะดิสก์ที่เสียที่อยู่ในเครื่องเดียวกันย่อมมีความเสี่ยงที่จะเสียหายเหมือนกัน
เมนบอร์ด
นับเป็นอุปกรณ์ที่ก่อปัญหาได้มากที่สุด เนื่องจากเมนบอร์ดเป็นเสมือนร่างกายของคอมพิวเตอร์ เพราะเมนบอร์ดเป็นส่วนที่อุปกรณ์อื่น ๆ มาต่อพ่วงนั่นเอง ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ มักจะเกิดจากเมนบอร์ด ซึ่งสามารถแบ่งปัญหาจากเมนบอร์ดได้เป็น 2 อย่างคือปัญหาจากตัวเมนบอร์ดเอง และการตั้งค่าต่าง ๆ ของโปรแกรมไบออส
อุปกรณ์บนเมนบอร์ด อาจหาจุดเสียของอุปกรณ์บนเมนบอร์ดได้ โดยการตรวจดูด้วยตาเปล่าว่ามีรอยไหม้ รอยขีดข่วน หรือมีรอยหักบิ่นบนเมนบอร์ดหรือไม่ ซึ่งผู้ใช้มือใหม่ที่ชอบแกะประกอบเครื่องเองมักจะทำให้เกิดความเสียหายได้ เช่นการถอดใส่ซีพียู ซึ่งการติดพัดลมซีพียูบางรุ่นอาจต้องใช้แรงในการถอดใส่พอสมควร บางครั้งอาจต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยงัดแงะเช่นไขควง แล้วเกิดไปขีดข่วนลายวงจรบนเมนบอร์ดได้ หลายครั้งที่ผู้ใช้ซื้อเมนบอร์ดมาใหม่ ประกอบเองแล้วใช้ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุนี้ บางครั้งอาจเกิดจากอุปกรณ์บนเมนบอร์ดเสียหาย เช่นตัวเก็บประจุ(Capacitor) ระเบิดหรือบวม ช่องสำหรับใส่หน่วยความจำแรมมีขา(Pin)หัก แผงวงจรบิ่นหรือหักบางส่วน ซึ่งหากเมนบอร์ดมีปัญหาและยังอยู่ในประกันก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่าหมดประกันแล้วให้ส่งซ่อมอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องทำการเปลี่ยนเมนบอร์ดไปเลย มักจะซ่อมไม่ได้
การตั้งค่าไบออส มักจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานรวน แต่ส่วนใหญ่ไม่ถึงกับทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะคาดเดาได้ยากหากว่าตั้งค่าต่าง ๆ ในไบออสไม่ถูก หากไม่แน่ใจว่าตั้งค่าในไบออสถูกหรือไม่ หรือคาดว่าไบออสมีส่วนทำให้เครื่อง มีปัญหา ก็ทดลองทำการตั้งค่าของไบออสให้เป็นค่าเริ่มต้นที่จากโรงงาน(Factory Default) เลย บางทีเรียกว่าการรีเซ็ท(reset)ไบออส แต่ควรจะจดค่าต่าง ๆ ที่เราได้ทำการแก้ไขไว้แล้วก่อนที่จะทำการรีเซ็ทไบออส
ซอฟต์แวร์
ในที่นี้จะกล่าวถึงปัญหาจากการใช้ซอฟต์แวร์เพียงคร่าว ๆ เท่านั้น โดยแบ่งปัญหาจากการใช้ซอฟต์แวร์ได้เป็น 2 อย่างได้แก่
ปัญหาจากระบบปฏิบัติการ อาจเกิดจากการที่ระบบปฏิบัติการติดไวรัส ไฟล์บางส่วนของระบบปฏิบัติการเสียหรือหายไป หากมีปัญหา ให้ลองติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่โดยอาจทำการทวนการติดตั้ง (Re-install) หรือ ติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่เลย คือต้องทำการลบระบบปฏิบัติการเดิมออกก่อนแล้วติดตั้งใหม่เลย สาเหตุอีกอย่างคือหากเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้ติดตั้งไดรเวอร์(Driver)ที่ถูกต้องบนระบบปฏิบัติการ อาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานผิดเพี้ยนไปได้เช่นกัน
ปัญหาจากโปรแกรมประยุกต์อื่น ๆ เมื่อติดตั้งระบบปฏิบัติการเรียบร้อยดีแล้ว และเริ่มติดตั้งโปรแกรมประยุกต์อื่น ๆ แล้วเกิดปัญหาขึ้น ก็ให้สันนิษฐานว่าโปรแกรมประยุกต์นั้นมีปัญหา โดยอาจติดตั้งโปรแกรมใหม่ หรือหาตัวติดตั้งโปรแกรมจากที่อื่นมาติดตั้งดูใหม่ หากยังมีปัญหาอีก ก็ให้ลองตรวจดูว่าโปรแกรมที่ต้องการติดตั้งนั้นมีความต้องการพื้นฐานอะไรบ้าง ต้องการฮาร์ดแวร์แบบอะไรบ้าง ต้องการระบบปฏิบัติการรุ่นไหนสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร หากถูกต้องก็ลองติดตั้งโปรแกรมอื่น ที่สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับโปรแกรมที่ต้องการใช้
สาเหตุอื่น ๆ
บางครั้งความไม่รู้ของผู้ใช้เองก็อาจเป็นปัญหาในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นการปิดเครื่องอย่างผิดวิธี เช่นการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โดยการดึงปลั๊กเลยโดยไม่ทำการปิดเครื่อง (Shutdown)อย่างถูกขั้นตอน ก็อาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสียหายได้ทั้งส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
เรื่องอุณหภูมิของห้องที่ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นก็มีส่วนเป็นอย่างมากต่อความมีเสถียรภาพของเครื่อง เนื่องจากหากอุณหภูมิของห้องสูงขึ้นมากแล้วจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะซีพียูทำงานผิดเพี้ยนไปหรือหยุดทำงานไปเลย หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือซีพียูพังไปเลยก็มี
ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่พบกันบ่อย ๆ และแนวทางการแก้ไขเบื้องต้น
หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่แล้วเกิดการค้าง ไม่ยอมทำการติดตั้งต่อไป
เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งหนึ่งที่พบบ่อย ๆ คือการตั้งค่า Virus Warning ในไบออส ไว้ทำให้เครื่องไม่สามารถ เขียนข้อมูลทับลงบนส่วนของ boot record ของฮาร์ดดิสก์ได้ ให้ลองแก้ใน ไบออส ตั้งให้เป็น Disable ไว้ก่อน และหลังจากทำการ Setup Windows เสร็จแล้วค่อยตั้งเป็น Enableใหม่
หลังจาก Setup Windows จะขึ้นข้อความ Windows Protection Error
ที่พบบ่อย ๆ มากคือปัญหาของ RAM อาจจะเป็นเฉพาะช่วงที่ทำการ Setup Windows เท่านั้น (โดยที่ปกติก่อน Setup Windows จะใช้งานได้ ไม่เป็นอะไร) ให้ทดลองหา RAM มาเปลี่ยนใหม่ดู หรือหากเป็น SDRAM ให้ทดลองตั้งค่าใน ไบออส ค่าของ CAS จากที่ตั้งเป็น 2 ลองตั้งเป็น 3 ดู อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้
ใช้ซีพียูรุ่น AMD K6II-350 ขึ้นไปติดตั้ง Windows95 แล้วเกิด Error แต่ใช้ Windows98 ได้
จะเกิดจากการใช้ CPU ของ AMD ที่มีความเร็วตั้งแต่ 350MHz ขึ้นไปกับ Windows95 วิธีแก้ไขคือไปดาวน์โหลดแพทช์ (Patch) สำหรับแก้ปัญหานี้ที่ AMDK6UPD.EXE มาแก้ไขโดยสั่งรันไฟล์นี้แล้วบูทเครื่องใหม่
ปัญหาขนาดของRAMผิดเพี้ยนไป
อาการของ RAM หายไปมักจะเกิดกับการใช้เมนบอร์ดรุ่นที่มี VGA on board ที่จริงก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ส่วนหนึ่งของ RAM จะถูกนำไปใช้กับ VGA และขนาดที่จะโดนนำไปใช้ก็อาจจะเป็น 2M, 4M, 8M ไปจนถึง 128M. ก็ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งในไบออส
ใช้เครื่องได้สักพัก มักจะแฮงค์(Hang)
อาจจะเกิดจากความร้อนสูงเกินไป ขั้นแรกให้ตรวจสอบพัดลมต่าง ๆ ว่าทำงานปกติดีหรือเปล่า หากเครื่องทำโอเวอร์คล็อก (Over Clock) อยู่ด้วยก็ทดลองลดความเร็วลงมา ใช้แบบงานปกติดูก่อนว่ายังเป็นปัญหาอยู่อีกหรือเปล่า ถ้าในไบออส มีระบบดูความร้อนของซีพียู หรือเมนบอร์ดอยู่ด้วยให้สังเกตค่าของ อุณหภูมิ ว่าสูงเกินไปหรือเปล่า ทั้งนี้อาจจะทำการเพิ่มการติดตั้งหรือเปลี่ยนพัดลมของซีพียูช่วยด้วย
มีข้อความ “BIOS ROM CHECK SUM ERROR” ตอนเปิดเครื่อง
อาการนี้ส่วนใหญ่เกิดจากถ่านของไบออส หมดหรือเกิดการหลวม ให้ลองขยับถ่านให้แน่น ๆ ดูก่อน ถ้าไม่หายก็ต้องลองเปลี่ยนถ่านบนเมนบอร์ดดู (ก่อนเปลี่ยนถ้ามี Meter วัดไฟดูก่อน) หลังจากเปลี่ยนแล้วให้ทำการล้างค่าต่าง ๆ (Clear) ของไบออสก่อนด้วย เมนบอร์ดบางรุ่นอาจจะใช้ Jumper เพื่อทำการล้างค่าต่าง ๆ ของไบออส โดยทำการ Jump ค้างไว้สัก 5 วินาทีแล้วก็ Jump กลับที่เดิมก่อน หรืออาจจะดูวิธีการจากคู่มือเมนบอร์ด หลังจากนั้นต้องเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ของไบออส ใหม่
ลืม Password ของ ไบออส จะทำยังไงดี
ให้ทำเหมือการล้างค่าต่าง ๆ ของไบออสนั่นเองโดยการ Jump ค้างไว้สัก 5 วินาทีแล้วก็ Jump กลับที่เดิมก่อน หรืออาจจะดูวิธีการจากคู่มือเมนบอร์ด หลังจากนั้นต้องเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ของไบออส ใหม่
ซื้อฮาร์ดดิสก์มาขนาดใหญ่ ๆ แต่หลังจากทำการฟอร์แมท (Format) แล้วเครื่องมองเห็นแค่2GB.
อย่างแรกให้ดูก่อนเลยว่า ใช้ระบบไฟล์แบบ FAT16 หรือ FAT32 ถ้าหากเป็น FAT16 จะมองเห็นได้สูงสุดแค่ 2G ต่อ 1 Partition เท่านั้น ต้องใช้แบบ FAT32 วิธีการคือใช้ FDISK ของแผ่น Startup Disk WIN98 มาทำ FDISK (ถ้าเป็น FDISK จาก DOS หรือ WIN95 จะเป็นแบบ FAT16)
ไม่สามารถใช้งาน ฮาร์ดดิสก์ได้มากกว่า 8 GB. สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ
เกิดจากที่ ไบออส ไม่สามารถรู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้ จะเป็นกับเมนบอร์ดรุ่นเก่า หรือบางครั้ง Windows มองเห็นเกิน 8 GB. แต่ไม่สามารถใช้งานได้ จะบอกว่าฮาร์ดดิสก์เต็ม วิธีแก้ไขอย่างแรกคือ ให้ลองทำการอัพเดทไบออส เป็นรุ่นใหม่ดูก่อน (ถ้าหาได้) หรือไม่ก็ดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับจัดการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อนั้น ๆ หรืออาจจะใช้วิธีการแบ่งPartition ให้มีขนาดใหญ่ไม่เกิน 8 GB. ต่อ 1 พาร์ทิชั่นก็อาจจะช่วยได้
ซื้อฮาร์ดดิสก์มาขนาดใหญ่ ๆ แต่ไม่สามารถทำ FDISK แบ่งใช้งานได้
ปัญหานี้ มักจะพบกับฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 64 GB. ขึ้นไป ปัญหาเกิดจากโปรแกรม FDISKของ Windows 98 ไม่สามารถ จัดการกับฮาร์ดดิสก์ ที่มีขนาดใหญ่กว่า 64 GB. ได้ ต้องไปทำการดาวน์โหลด Free FDISK ตัวใหม่มาใช้งานแทน หรือโหลดตัวแก้ไขจาก Microsoft หรือไม่ก็ใช้ FDISKที่ได้จาก Windows Me แทน อีกวิธีหนึ่งคือใช้แผ่นดิสก์ ที่ทำมาจากโปรแกรม Partition Magic ก็ได้
พิมพ์หน้าเว็บเพจออกเครื่องพิมพ์แบบ Ink Jet เป็นภาษาไทยไม่ได้
ส่วนใหญ่ ปัญหานี้จะเกิดกับการใช้เครื่องพิมพ์แบบ อิงค์เจ็ท รุ่นใหม่ ๆ วิธีแก้ไขคือ ให้ลองหา ดาวน์โหลดไดรเวอร์รุ่นใหม่ ๆ ของเครื่องพิมพ์จาก Web Site ของเครื่องพิมพ์นั้น ๆ เพราะบางครั้งอาจจะมีการแก้ไขปัญหานี้แล้ว หรือไม่ก็ใช้วิธีเข้าไปตั้งค่า Regional Settings ที่ Control Panel เป็นEnglish(USA) ก่อน เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วก็เปลี่ยนกลับมาเป็น Thai เหมือนเดิม การตั้งค่าก็ทำโดยกดที่Start เมนู >> Settings >> Control Panel เลือกที่ Regional Settings เปลี่ยนเป็น English(USA)
สั่ง Defrag Hard Disk แล้วไม่ยอมเสร็จ จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ วนแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ
สาเหตุเกิดจากมีโปรแกรมบางตัวทำงานอยู่ในเวลานั้นด้วยและสั่งเขียนข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ เช่นScreen Saver, Winamp หรือพวก Anti Virus บางตัว ให้ทำการปิดโปรแกรมเหล่านี้ให้หมดก่อน หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows ใน Self Mode (กด F8 ตอนเปิดเครื่องแล้วเลือก Self Mode)
ใช้การ์ดจอของยี่ห้อ TNT แล้วเมื่อพิมพ์ข้อความต่าง ๆ สระบนล่างไม่ยอมขึ้นมาทันที
ต้องพิมพ์ตัวต่อไปก่อนจึงจะเห็น เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ๆ กับผู้ที่ใช้การ์ดจอของ TNT ให้ลองหาไดรเวอร์รุ่นใหม่ ๆ จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ จะแก้ไขได้หรือใช้ Driver ของ Detonator Version 3.65 หรือใหม่กว่านี้ขึ้นไป
เครื่องพิมพ์ (Computer printer)
เครื่องพิมพ์ (Computer printer) คืออุปกรณ์ที่จะแปลการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ออกมาในรูปแบบกระดาษ ทั้งรูปภาพและอักษร เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot-matrix printer)
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ การทำงานของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือจะใช้การสร้างจุดลงบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะมีลักษณะเป็นหัวเข็ม เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งตามรูปประกอบนั้นๆ จะยื่นออกมามากกว่าหัวอื่นๆ และกระแทกกับผ้าหมึกลงกระดาษที่ใช้ พิมพ์ จะทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้นมา เครื่องพิมพ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีราคาถูกและคุณภาพเหมาะ สมกับราคา แต่ข้อเสียคือเวลาสั่งพิมพ์จะเกิดเสียดังพอสมควร
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ ในปัจจุบันส่วนใหญ่ นิยมใช้กันมี 2 แบบ
- เครื่องพิมพ์แบบ 9 เข็ม
- เครื่องพิมพ์แบบ 24 เข็ม

2.เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Inkjet printers)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก หรือ เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต (Inkjet Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ลงบนกระดาษ เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ เครื่องพิมพ์จะทำการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดในตำแหน่งที่เครื่องประมวลผลไว้ อย่างแม่นยำ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ โดยรูปที่มีความซับซ้อนมากๆเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ชัดเจนและคมชัดกว่าแบบดอตแมทริกซ์
3.เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงมาก และราคาเครื่องพิมพ์ก็มีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะทำงานได้เร็วกว่าเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกและคุณภาพของผลลัพธ์ทั้งด้านความคมชัดและรายละเอียดทำออกมาได้ดีกว่าแบบพ่น หมึกมาก
4.พล็อตเตอร์ (Plotter)
พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิก และเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุดในเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ
จอคอมพิวเตอร์แบบ CRT
ซึ่งข้อดีของจอแสดงผลแบบ LCD มีหลายอย่างแต่ที่เห็นได้ชัดคือจอ LCD จะประหยัดพลังงานมากกว่าจอแบบ CRT แต่ในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกันคือ จอ LCD คือมุมมองสำหรับการเห็นภาพค่อนข้างแคบ
จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD
จอคอมพิวเตอร์แบบ LED
การตรวจสอบอาการเสียของคอมพิวเตอร์และหลักการแก้ไขเบื้องต้น
ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่พบกันบ่อย ๆ และแนวทางการแก้ไขเบื้องต้น
เครื่องพิมพ์ (Computer printer)
เครื่องพิมพ์ (Computer printer) คืออุปกรณ์ที่จะแปลการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ออกมาในรูปแบบกระดาษ ทั้งรูปภาพและอักษร เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot-matrix printer)
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ การทำงานของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือจะใช้การสร้างจุดลงบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะมีลักษณะเป็นหัวเข็ม เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งตามรูปประกอบนั้นๆ จะยื่นออกมามากกว่าหัวอื่นๆ และกระแทกกับผ้าหมึกลงกระดาษที่ใช้ พิมพ์ จะทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้นมา เครื่องพิมพ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีราคาถูกและคุณภาพเหมาะ สมกับราคา แต่ข้อเสียคือเวลาสั่งพิมพ์จะเกิดเสียดังพอสมควร
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ ในปัจจุบันส่วนใหญ่ นิยมใช้กันมี 2 แบบ
- เครื่องพิมพ์แบบ 9 เข็ม
- เครื่องพิมพ์แบบ 24 เข็ม
2.เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Inkjet printers)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก หรือ เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต (Inkjet Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ลงบนกระดาษ เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ เครื่องพิมพ์จะทำการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดในตำแหน่งที่เครื่องประมวลผลไว้ อย่างแม่นยำ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ โดยรูปที่มีความซับซ้อนมากๆเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ชัดเจนและคมชัดกว่าแบบดอตแมทริกซ์
3.เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงมาก และราคาเครื่องพิมพ์ก็มีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะทำงานได้เร็วกว่าเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกและคุณภาพของผลลัพธ์ทั้งด้านความคมชัดและรายละเอียดทำออกมาได้ดีกว่าแบบพ่น หมึกมาก
4.พล็อตเตอร์ (Plotter)
พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิก และเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุดในเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ
หลักการทำงานของปริ้นเตอร์แบบต่างๆ
Inkjet Printer
คือ เครื่องพิมพ์ที่ใช้วิธีพ่นน้ำหมึกลงไปบนวัตถุงาน โดยหมึกจะถูกฉีดออกจากรูขนาดเล็กบนหัวพิมพ์ ซึ่งหมึกที่ใช้จะเป็นแม่สี 3 สี คือ แดง เหลือง และน้ำเงิน บางเครื่องจะใช้ 2 กล่อง คือ น้ำหมึกสีดำกับตัวแม่สี สามารถพิมพ์ได้เร็ว คือ ประมาณ 9 ppm
คุณลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์แบบนี้คือ
- สามารถพิมพ์ภาพสีได้ โดยมีตลับหมึกสีแยกอิสระ สามารถถอดเปลี่ยนใหม่ได้
- คุณภาพการพิมพ์คมชัดกว่าแบบใช้หัวเข็ม ให้ความละเอียดสูง เหมาะสมสำหรับงานด้านกราฟิค และงานด้านการนำเสนอ
- สามารถพิมพ์บนผิววัสดุอื่นๆ นอกจากบนกระดาษได้ เช่น แผ่นใส สติ๊กเกอร์
หลักการทำงาน
เมื่อเราทำการสั่งพิมพ์ด้วยการกดคลิกที่ปุ่ม OK ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะเกิดกระบวนการทำงานเป็นลำดับต่อเนื่องดังนี้
- ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะส่งข้อมูลให้เป็นรูปแบบที่เครื่องพิมพ์สามารถเข้าใจได้
- ไดรฟ์เวอร์จะส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องพิมพ์ ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อ
- เครื่องพิมพ์จะรับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์และทำการเก็บข้อมูลนั้นไว้ในบัฟเฟอร์ ซึ่งอยู่ในหน่วยความจำ RAM ขนาดตั้งแต่ 512 KB จนถึง 16 KB ขึ้นอยู่กับรุ่น
- หากเครื่องพิมพ์ไม่ตอบสนองการทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็นเพราะเครื่องกำลังเข้าสุ่วงรอบของการทำความสะอาดหัวพิมพ์แบบสั้นๆ
- เมื่อกระดาษผ่านเข้าไปในเครื่องคอมพิมพ์ จะเริ่มพิมพ์จากตำแหน่งเริ่มต้นของหน้าแรก สเต็ปเปอร์มอเตอร์หัวพิมพ์จะบังคับสายพานให้เลื่อนชุดหิวพิมพ์ไปมาอย่างเป็นจังหวะ
- การพิมพ์ของอิงก์เจ็ต จะพิมพ์ทีละจุด ทีละแถบเรียงต่อเนื่องติดกันไปบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะฉีดหมึกในโหมดสี CMYK ได้อย่างแม่นยำ
- เมื่อสิ้นสุดการพ่นหมึกในหนึ่งแถวกระดาษ เครื่องก็จะเลื่อนกระดาษขึ้นพิมพ์แถวต่อมา
- กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพิมพ์เสร็จหมดทั้งหน้า
- เมื่อการพิมพ์เสร็จสมบูรณ์ หัวพิมพ์จะหยุด สเต็ปเปอร์มอเตอร์ที่ดึงกระดาษจะหมุนลุกกลิ้งผลักกระดาษที่พิมพ์เสร็จแล้วออกไปด้านหน้าเครื่องพิมพ์
Laser Printer
เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่มีกลไกการทำงานซับซ้อนที่สุด เครื่องพิมพ์นี้อาศัยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตย์ที่พบในเครื่องถ่านเอกสารทั่วไปโดยลำแสงไดโอดเลเซอร์จะฉายไปยังกระจกหมุน เพื่อสะท้อนไปยังลุกกลิ้งไวแสง ซึ่งจะปรับตามสัญญาณภาพหรือตัวอักษรที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์ และกราดตามแนวยาวของลูกกลิ้งอย่างรวดเร็ว สารเคลือบบนลุกกลิ้งจะทำปฏิริยากับแสงแล้วเปลี่ยนเป็นประจุไฟฟ้าสถิตย์ ซึ่งทำให้ผงหมึกเกาะติดกับพื้นที่ที่มีประจุ เมื่อกระดาษพิมพ์หมุนผ่านลูกกลิ้ง ความร้อนจะทำให้ผงหมึกหลอมละลายติดกับกระดาษ
หลักการทำงาน
หลักการทำงานก็คือ ตัวดรัม เริ่มต้นจะถูกทำให้ประจุไฟฟ้าเป็นบวก ทั่งทั้งแกนเมื่อตัวเลเซอร์ยิงแสงเลเซอร์ผ่านกระจกเลนส์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลุกบอลกระจกแบบที่อยู่ในสถานบันเทิง เมื่อเลเซอร์ยิงแสงไปตกกระทบกระจกเลนส์ก็จะเกิดการหักเหของแสงในทิศต่างๆ แสงที่หักเหจากเสนส์นี้ก็จะตกกระทบมาที่ตัวดรัม โดยตัวดรัมจะค่อยๆ หมุนไปตามการยิงเลเซอร์ ความละเอียดในการหมุนตัวดรัมนี้เป็นที่มาของความละเอียดในการพิมพ์ในปัจจุบัน
ข้อดี-ข้อเสียของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์
ข้อดี ได้งานพิมพ์ที่สวยงามรวดเร็ว
ข้อเสีย ต้นทุนสูง ไม่สามารถพิมพ์สำเนาครั้งละหลายๆ แผ่นได้ในครั้งเดียว และราคาเครื่องค่อนข้างแพงกว่าแบบอื่นๆ
Dot matrix printer
หลักการพิมพ์จะใช้เข็มกระแทกผ้าหมึกเพื่อเกิดจุดที่กระดาษ และรวมกันเป็นตัวอักษร หรือภาพ ขณะการใช้งานการเกิดเสียงค่อนข้างดัง เนื่องจากการใช้เข็มกระแทก ปัจจุบันนี้มีผ้าหมึกที่เป็นสีแล้ว แต่คถณภาพไม่ค่อยดีนัก
คุณลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์
- สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษที่มีหลายสำเนาหลายชุดได ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์หลายครั้ง ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบอื่นไม่สามารถทำได้
- มีความทนทานในการใช้งานสูง
- สามารถพิมพ์กับกระดาษต่อเนื่องได้
โครสร้างการทำงาน
ส่วนประกอบหลัก
- หน่วยประมวลผลกลาง
- หน่วยความจำ
- ภาค input/output
- ส่วนกลไก
อาการเสียของ Printer Cannon ที่มักพบบ่อยๆ (ในรุ่นที่ไม่มีจอแสดงผล)
ไฟสีส้มกระพริบ 5 ครั้ง
1. ตลับเสีย แก้ไขไม่ได้ ต้องซื้อตลับหมึกใหม่
1. ตลับเสีย แก้ไขไม่ได้ ต้องซื้อตลับหมึกใหม่
2. ฝาปิดตลับหมึก (ที่เป็นฝางับ) ปิดได้ไม่สนิท อาจะเป็นเพราะสายแทงค์ขัดไว้ วิธีแก้คือ พยายามปิดให้สนิท
3. Sensor ตรงหน้าสัมผัสอาจสกปรก ให้ถอดออกมาเช็ดแล้วใส่ไปใหม่
ไฟสีส้มกระพริบ 7 ครั้ง
1.เครื่องฟ้องน้ำหมึกหมด วิธีแก้ คือ กดปุ่ม รีซูม ค้างไว้ 10 วินาที
2.สาเหตุต่อมาคือ ถาดซับน้ำหมึกเต็ม ต้องใช้โปรแกรมเคลียร์ครับ
สัญญาณกระพริบ
สัญญาณกระพริบ
ไฟสีส้ม 2 ครั้ง เขียว 1 ครั้ง หมายถึง ไม่ใส่กระดาษหรือกระดาษหมด
ไฟสีส้ม 3 ครั้ง เขียว 1 ครั้ง หมายถึง กระดาษติด หรือ ระบบกลไกล ขัดข้อง / ระบบชุดปั๊มหมึก / ระบบดึงกระดาษ / สายเซนเซอร์หัวพิมพ์ชำรุดหรือเปื้อน- ส้ม 4 ครั้ง เขียว 1 คร้ง หมายถึง ไม่ได้ติดตั้งตลับหรือไม่ได้ใส่หมึก
ไฟสีส้ม 5 ครั้ง เขียว 1 ครั้ง หมายถึง ยังไม่ได้ติดตั้งหัวพิมพ์(Print Head) หรือตลับหมึกเสีย ให้เปลี่ยนทั้งตลับหมึกดำ และหมึกสี- ส้ม 7 ครั้ง เขียว 1 ครั้ง หมายถึง หมึกหมด หรือผ้าซับหมึกใกล้เต็ม หรือ บางครั้งอาจจะเป็นหัวพิมพ์ก็ได้ ทางที่ดีให้ถอด ตลับหมึกทั้ง ดำ และสี ออกก่อน ว่าไฟเขียวจะค้างปกติหรือไม่ ถ้าปกติ หมายความว่า หัวพิมพ์เสียอย่างเดียว ครับ
ไฟสีส้ม 8 คร้ง เขียว 1 ครั้ง หมายถึงแผ่นซับหมึกเต็ม (ใช้โปรแกรมเคลียร์หรือเปลี่ยนซับหมึกภายใน)
การเเก้ปัญหา CODE ไฟเเสดงผลของเครื่องปริ้นท์ CANON MP258 เเละ MP287
ในช่วงระยะที่ผ่านมา เราอาจสังเกตเห็นได้ว่า ปริ้นท์เตอร์ ตระกูล Canon ได้รับความนิยมมาก อาจเป็นเพราะราคาถูก มีเครื่องจำนวณมาก ไม่ได้ต้องรอจอง รอคิวนาน บางคนนำไปใช้สักช่วงหนึ่งแล้วอาจเกิดปัญหาไม่สามารถสั่งพิมพ์งานได้ และมี code ตัวเลขขึ้นที่เลขจำนวนสำเนาสั่งพิมพ์ที่ตัวเครื่อง (ปกติ มันต้องเป็นเลข 1) สัญญาณไฟเตือนติดสว่างเป็นสีส้ม
เมื่อเครื่องเกิดข้อผิดพลาด สัญญาณไฟ Alarm ติดสว่างเป็นสีส้ม และรหัสข้อผิดพลาดต่อไปนี้จะแสดงผลบนจอ LEDให้ตรวจสอบรหัสระบุข้อผิดพลาดบนจอ LED และทำสิ่งที่เหมาะสมในการแก้ไขข้อผิดพลาด
ดังนั้นจึงยกวิธีการแก้ไขอาการ Error Code Printer Canon รุ่น Mp 258 เเละ MP 287 โดยดูจากรหัสที่ขึ้น (LED Display)
รูปแบบหน้าจอแสดงผลของ Printer Cannon PIXMA MP258 และ 287
ซึ่งมี error code ดังนี้
1. E02 มีปัญหาที่ระบบดึงกระดาษ ให้ตรวจเช็คช่องใส่กระดาษว่ามีกระดาษหรือไม่ หรือหากดึงแล้วเข้าไปค้างอาจจะมีสิ่งของตกลงไปให้นำสิ่งของนั้นออกครับ
วิธีการดึงกระดาษออกให้ปิดเครื่องก่อนดึงทุกครั้งครับ และควรดึงตามทางออกของกระดาษเสมอ เพื่อป้องกันชุดเฟืองของชุดดึงกระดาษเสีย ยกเว้นกระดาษถูกดึงเข้าไปเพียงเล็กน้อยให้ดึงออกทางช่องที่ใส่ครับ
2. E03 ช่องใส่กระดาษไม่ได้ถูกเปิด หรือมีกระดาษติดให้ใช้วิธีเดียวกับ E02 ครับ
3. E04, E05 เครื่องไม่รู้จักตลับหมึก ดำหรือสี วิธีแก้ให้ถอดตลับหมึก แล้ว ใช้ทิชชูเช็ดทำความละอาดลายวงจรด้านหลังตลับแล้วใส่เข้าไปใหม่ หากไม่หายส่วนมากตลับจะเสียครับ
4. E07 ตลับหมึกไม่ได้ติดตั้งตำแหน่งที่ถูกต้อง มีปัญหาที่ตัวตลับให้ลองแก้ในข้อ 3 หรือบางครั้งอาจจะเกิดจากลายวงจรไม่สัมผัสกับแผงของตัวรับของเครื่อง
5. E08 แผ่นซับหมึกเกือบเต็ม กดปุ่ม Copy ดำหรือสี วิธีแก้เครื่องจะทำงานต่อ
6. E13 ไม่สามารถตรวจสอบระดับหมึกได้ วิธีแก้ให้กดปุ่ม STOP/RESET ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
7. E14 ฟ้องเกี่ยวกับตลับหมึก ดูที่ข้อ 3
8. E15 ฟ้องเกี่ยวกับตลับหมึก ดูที่ข้อ 3
9. E16 ฟ้องหมึกหมด วิธีแก้ให้กดปุ่ม STOP/RESET ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
10. E30 ฟ้องเกี่ยวกับการตั้งค่าของเอกสาร ให้กลับไปดูการค่าว่าตั้งค่าตรงกันหรือไม่
11. E31 เครื่องไม่ได้เซื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ควรตรวจดูการเชื่อมต่อเครื่องปริ้นท์เตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิล USB
12. E50 การสแกนการตั้งค่าหัวพิมพ์ล้มเหลว กดปุ่ม Stop / Reset เพื่อยกเลิกข้อผิดพลาด
วิธีแก้ปัญหา ปริ้นไม่ออก เนื่องจาก Printer and Fax หรือคิดว่าdriver หายทำยังไง มาดู!!!
Posted by on 15 November 2011 11:15:32
| |
เพื่อนๆทราบหรือไม่ครับว่าที่เจ้า Printer ตัวป่วนของเราปริ้นไม่ออกนั้น สาเหตุเกิดขึ้นได้หลายอย่างด้วยกันนะครับ เอาละลองมาไล่ดูกันทีละสาเหตุเลยนะครับ
1. สาย Printer หลุด หลวม หรือชำรุด ไม่ว่าจะเป็นสายรูปแบบ USB หรือ Pararial ก็จะมีโอกาสเกิดกรณีนี้ได้ทั้งหมดนะครับ
วิธีแก้ : เสียบสายให้แน่นและเข้า Lock ของ Port นั้นๆ หรือเปลี่ยนสายกันไปเลย
2. Paper jam เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครับ และส่วนมาก Printer ก็จะมีระบบแจ้งเตือนปัญหาแบบนี้ครับ
วิธีแก้ : นำกระดาษหรือเศษกระดาษที่ติดอยู่ใน Printer ออก
3. หมึกหมด สาเหตุนี้บางรุ่นยังสามารถปริ้นออกมาได้แต่ไม่มีอะไรติดออกมากับกระดาษนะครับ
วิธีแก้ : เปลี่ยนหรือเติมหมึก
4. กระดาษหมด อันนี้มันก็ต้องรอบคอบนิดนึงนะครับ
วิธีแก้ : ใส่กระดาษเข้าไปใหม่ครับ
5. สาย LAN หลุด หลวม หรือชำรุด อันนี้สำหรับ Printer ที่มีระบบ Network นะครับ
วิธีแก้ : เสียบสายให้แน่นหรือเปลี่ยนสาย LAN เส้นใหม่เลยดีกว่า(กรณีสายชำรุด)
6. ระบบ Network มีปัญหา สาเหตุนี้อาจจะต้องไล่กันยาวครับ หากมีการติดตั้งระบบ Network ที่ซับซ้อน
วิธีแก้ : ไล่ดูทีละจุด
7. มีงานค้างอยู่ที่ Printer แบบนี้ก็พบบ่อยเหมือนกันครับ สั่งปริ้นกี่ทีๆก็ไม่ออก กดปริ้นไปซะ 10 รอบ แบบนี้มีงานค้างปริ้นแน่นอนครับ
วิธีแก้ : เข้าไปเคลียร์งานที่ค้างในปริ้นเตอร์ก่อนเถอะครับ
8. ปิดฝาหน้า ฝาหลังหรือฝาครอบไม่สนิท อันนี้อย่างมองข้ามนะครับ Printer บางรุ่นมีเซนเซอร์มาเพื่อสิ่งนี้ครับ
วิธีแก้ : ถอดส่วนไหนมา ตอนใส่กลับก็ดูนิดนึงครับว่าแน่นแล้วหรือยัง บางรุ่นมันมีฟ้อง...ขี้แงอ่ะ
9. Port Printer ชำรุดเสียหาย งานเข้าครับแบบนี้
วิธีแก้ : เปลี่ยน Port ใหม่
10.เลือก Printer ผิด กรณีนี้ที่เครื่องต้องมีการต่อ Printer ไว้เยอะจัดก็เลยตาลาย
วิธีแก้ : เลือก Printer ให้ถูกเครื่อง(อาจจะต้องเพ่งสักนิด...)
11.Printer กลับบ้านเก่า(พัง!!!) อันนี้งานเข้าอย่างแท้จริงครับ
วิธีแก้ : เปลี่ยนเครื่องกันเลยทีเดียว
สุดท้ายท้ายสุดเลยทำมาทุกอย่างละ ก็ยังปริ้นไม่ออก งั้นไปมองดูที่ Software กันบ้างครับ
วิธีแก้ปัญหาปริ้นไม่ออก เนื่องจาก Printer and Fax หรือคิดว่าdriver หายทำยังไง มาดู!!!
สาเหตุมาจากพวกสปายแวร์ที่เข้ามา fix ค่าให้ print ไม่ออก หรืออะไรก็ตามแต่ สามารถแก้ไขได้ตามลำดับ ครับ
1. คลิกขวา ที่ my computer เลือก manage
2. เข้าที่ หน้าจอ service and application แล้วดับเบิลคลิก service
3. จะได้หน้าจอ service ให้สังเกตุ Service ที่ชื่อว่า Print spooler ซึ่งจะปิดอยู่ ตัวนี้นี้เองที่ทำให้เราปริ้นไม่ออกแล้วก็มองไม่เห็น ดับเบิลคลิกมันขึ้นมาเลยครับ
4. ไปคลิก เลือก startup type ให้เป็น automatic แล้วคลิก ที่ start แค่นี้ก็เสร็จ
แก้ไขเครื่องพิมพ์ cannon
การแก้ไขแคนนอน
ไฟกระพริบสลับกัน ให้กดปุ่ม power ค้างไว้ 5 วินาที แล้วถอดปลั้กออกแต่มือยังกดอยู่เสียบปลั้กใหม่ แล้วมือปล่อยจากปุ่มไฟจะดับแล้วจึงกดเปิดใหม่ใช้งานได้ตามปกติ
ตลับดำ หัวพ่นชุดเดียว
ตลับสี หัวพ่น 3 ชุดครับ นี่มั้งเป็นเหตุให้สีเสียบ่อยกว่า ตลับรุ่นนี้พ่นหมึกด้วยการใช้ความร้อน ต้องพยายามไม่ให้หัวพ่นมีความร้อนสูงเกินไป เสียก็มี 2 แบบ เสียแต่หัวพ่น ตลับเครื่องยังมองเห้น อาการคือเครื่องมองเห็นปกติ แต่พิมพ์แล้วหมึกไม่ออก เอาทิชชู่ซับที่หัว หมึกออกปกติ อาการที่เสียคือหัวพ่นเสีย ทำให้พ่นหมึกไม่ได้ อีกอาการคือตลับเสีย อย่างที่เอ่ยมาครับ ใช้อย่าพิมพ์ต่อเนื่องมากเกินไปครับ ไม่งั้นหัวพ่นร้อน มันร้อนถึงขนาดถ้าเปิดเครื่องดูจะเห็นหมึกเป็นไอฉุย ๆ ออกมาเลยแหละ อีกอย่างคือใช้หมึกเติมคุณภาพดี ๆ ครับ ช่วยได้เยอะเลยแหละ ส่วนตลับ ตลับ 41 กะ 831 ต่างกันแค่ ตลับ 831 มีฟองน้ำสำหรับจุหมึกเป็นครึ่งเดียวของตลับ 41 ผมแนะนำให้ใช้ 41 มากกว่าเพราะ 831 จุเหมึกได้น้อยกว่า นั่นก็ทำให้ต้องเติมหมึกบ่อยกว่า ถอดบ่อย ๆ ก็ทำให้เสียเร็วเหมือนกันครับ ขอบคุณครับ สงสัยผมจะพิมพ์ติดกันมากไป เพราะต้องปริ้นตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ส่งอาจารย์ เครื่องมันถูกมั้งเลยทำตลับหมึกมาแบบห่วยๆ อย่างที่รู้ๆกันไม่มีใครซื้อตลับแท้อยู่แล้วเพราะแพงมากมีแต่เติมหมึกปลอมเอา ก็เลยทำตลับหมึกมาแบบห่วยๆเพื่อจาให้พังง่าย พอจาซื้อตลับหมึกใหม่[แท้,เกรด AAA]ก็แพงพอๆกับซื้อเครื่องใหม่ ยิ่ง Canon ip1980 นะซื้อเครื่องใหม่พร้อมตลับหมึกดันถูกกว่าซื้อตลับหมึกดำ+สีซ่ะอีก จิงๆจาว่าผู้ผลิตปริ้นเตอร์ซ่ะทีเดียวมันก็ไม่ถูกหรอกเพราะเค้าเข้าใจตลาดเค้าก็เลยทำการตลาดแบบนี้ โดยให้เครื่องปริ้นเตอร์ใหม่ขายราคาถูกๆ[แถมตลับหมึกแท้ห่วยๆ 1 ชุด]ผู้บริโภคจาได้ซื้อปริ้นเตอร์ใหม่บ่อยๆคับ เหตุเพราะว่าหมึกแท้เค้าขายไม่ออกคับ ร้านแถวบ้านผมยังพูดเองเลยคับว่าไม่มีใครใช้ได้ถึงปีหรอกอย่างเก่งก็ 7-8 เดือนเท่านั้นเอง ผมเองก็เจอปัญหากับอิ้งเจ็ตมามากก็เลยเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์สีดำอย่างเดียวแทน ตอนนี้ก็ยังไม่เจอปัญหามากวนใจนะคับงานที่ทำก็มีแต่ปริ้นสีดำอย่างเดียวคับ ตอนนี้ปริ้นเตอร์แบบเลเซอร์ก็ราคาไม่แพงแล้วนะคับ 3,000-3,500฿ ก็เป็นราคาที่รับได้คับ ผมว่าดีกว่าจามาแก้ปัญหาจุกจิกกวนใจแทบจาทุกครั้งไปที่จาปริ้นคับ[ตอนใช้อิ้งเจ็ท] ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกแบบท่านแล้วครับ แต่ที่ต้องทนใช้มันอยู่ก็เพราะว่าต้องปริ้นสีนี่สิครับ วิธีแก้ E5 1.กอดปลั๊ก เครื่องพิมพ์ออก 2.กดปุ่ม Power ค้างไว้ 3.เสียบปลั๊กเครื่องพิมพ์ 4.กดปุ่ม Stop/Reset 2 ครั้ง ปล่อยปุ่ม Power 5.หน้าจอจะขึ้นเลข “ 0 ” กดปุ่ม “ + ” 1 ครั้ง หน้าจอจะขึ้นเลข “ 1 ” 6.กดปุ่ม Star Color 2 ครั้ง และกดปุ่ม Power 1 ครั้ง รอกระดาษ Test ออกมา 2 แผ่น 7.เปิดฝาเครื่องพิมพ์ รอหัวพิมพ์เลื่อนมาทางซ้าย กอดปลั๊กออก และถอดตลับหมึกออกทั้งดำและสี 8.ปิดฝาเครื่องพิมพ์ เสียบปลั๊ก แล้วเปิดเครื่อง (กดปุ่ม Power) 9.เครื่องจะเรียกหาตลับหมึก ให้เปิดฝาเครื่องแล้วใส่ตลับหมึกทั้งสอง ปิดฝาหน้าจอขึ้นเลข 1 OK. พร้อมใช้งาน ตอนผมใช้ mp160 ก็เจอบ่อยๆ(หลังจากใช้เติมหมึกเองเป็นระยะเวลานาน) ก็แก้โดยวิธี Reset ตลับหมึกแบบข้างบนก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม ถ้ามันขึ้น E อะไรอีกก็พิมหาวิธีแก้ได้ใน google เลยคับ ผมก็หาวิธีแก้ใน Google นั่นแหละครับ เจอแต่บอกว่าตลับหมึกพัง ก็เลยสงสัยว่าทำไมมันพังเร็วจัง ส่วนวิธีแก้ที่ท่านแนะนำมาอันนี้ สำหรับเครื่องของผมมันแก้ได้แค่อาการหมึกหมดเท่านั้นครับ จะค้างอยู่ที่ขั้นตอน 5 ไม่ขึ้น 0 สักทีเลย สงสัยตลับจะพัง รีเซ็ตตลับรึ เป็นวีธีที่น่าสนใจครับ ดีนะที่ไม่ใช่EPSONไม่งั้นยุ่งกว่านี้เยอะ มันน่าจะอยู่ที่เฉพาะรุ่นนะครับทีีแก้ได้
วิธีเคลียร์ซับหมึก
1. ปิดเครื่อง
2. กดปุ่ม Stop/Reset ค้างไว้ และตามด้วยปุ่ม ON/OFF ค้างตาม 3. ในขณะที่ยังกดปุ่ม ON/OFF ค้างอยู่ ให้ปล่อยมือจากปุ่ม Stop/Reset 4. ยังกดปุ่ม ON/OFF ค้างอยู่ ให้กดปุ่ม Stop/Reset อีก 2 ครั้ง เสร็จแล้วปล่อยมือจากปุ่มทั้ง 2 ปุ่ม 5. ไฟสีเขียวจะกระพริบสักพักแล้วจะหยุด 6. เมื่อไฟกลายเป็นสีเขียวค้าง กดปุ่ม Stop/Reset 4 ครั้ง 7. กดปุ่ม ON/OFF เพื่อปิดปริ๊นท์เตอร์ (บางทีอาจต้องกด 2 ครั้ง เพื่อปิด) 8. เปิดปริ๊นท์เตอร์ ก็จะใช้งานได้ตามปกติ วิธีเซตตลับหมึกให้เต็ม
1.กอดปลั๊ก เครื่องพิมพ์ออก
วิธีที่1การ Reset Canon IP 1880 อย่างง่ายๆ สามารถทำได้โดยการ Disable เพื่อไม่ให้เครื่องพิมพ์ทำการตรวจสอบปริณานน้ำหมึกในตลับ2.กดปุ่ม Power ค้างไว้ 3.เสียบปลั๊กเครื่องพิมพ์ 4.กดปุ่ม Stop/Reset 2 ครั้ง ปล่อยปุ่ม Power (ครั้งที่ 2 ปล่อยปุ่มพร้อมกัน ) 5.หน้าจอจะขึ้นเลข “ 0 ” กดปุ่ม “ + ” 1 ครั้ง หน้าจอจะขึ้นเลข “ 1 ” 6.กดปุ่ม Star Color 2 ครั้ง และกดปุ่ม Power 1 ครั้ง รอกระดาษ Test ออกมา 2 แผ่น 7.เปิดฝาเครื่องพิมพ์ รอหัวพิมพ์เลื่อนมาทางซ้าย กอดปลั๊กออก และถอดตลับหมึกออกทั้งดำและสี 8.ปิดฝาเครื่องพิมพ์ เสียบปลั๊ก แล้วเปิดเครื่อง (กดปุ่ม Power) 9.เครื่องจะเรียกหาตลับหมึก ให้เปิดฝาเครื่องแล้วใส่ตลับหมึกทั้งสอง ปิดฝาหน้าจอขึ้นเลข 1 OK. พร้อมใช้งาน ลองดูนะครับ 1.เปิดสวิทซ์เครื่อง รอจนเครื่องอยู่ในสถานะพร้อมที่จะทำงาน 2.เปิดฝาครอบเครื่องพิมพ์ ตลับหมึกจะเคลื่อนมาในตำแหน่งด้าน ซ้ายสุด 3.ถอดตลับสีออกมาแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ 4.ปิดฝาครอบเครื่องพิมพ์ แล้วกดปุ่ม Resume(รูปวงกลมมีสามเหลี่ยมด้านใน) ค้างไว้ 5 วินาทีหรืออาจจะนานกว่าก็ได้ 5.เปิดฝาครอบเครื่อง ถอดตลับดำกลับออกแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ 6.ปิดฝาครอบ แล้วกด Resume ค้างไว้ สักพัก ไฟที่ฟ้องน้ำหมึกหมด จะไม่แสดง และเวลาสั่งพิมพ์สถานะที่แสดง วิธีที่ 2 ตลับหมึก ดำเบอร์ 830 ตลับสี เบอร์ 831 สามารถใช้ตลับหมึก Canon เบอร์ 40 และ 41ทดแทนได้ (มีความรู้สึกว่า ตลับหมึก เบอร์ 830 และ 831 ฟองน้ำในตลับหมึกไม่ค่อยเต็ม ครับ) ขอขอบคุณผู้หวังดีท่านหนึ่ง ได้ทำการโพ้ส วิธีการ reset ตลับหมึก canon เบอร์ 40 และ 41 ที่ได้ปฏิบัติจริงจนสำเร็จ ขอขอบคุณที่ได้นำมาแบ่งปันกัน บนเว็บบอร์ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แด่ท่านอื่นๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาตรงนี้นะครับ 1 .โดยถอดปลั๊กไฟ AC ออก แล้วกดปุ่ม power บนเครื่องพิมพ์ค้างไว้ แล้วเสียบปลั๊ก ปล่อยปุ่ม power กดปุ่ม power 1 ครั้ง เครื่องพิมพ์ก็เข้าสู่ service mode 2 .ก่อนที่จะ reset ให้เปิด status หรือ สถานะของเครื่องพิมพ์ขึ้นมาไว้ดูก่อน 3 .ให้ใช้เทปกาวปิดที่คอนแท็กแถวที่1 จากบนลงมา ที่ตลับ CL-41แล้วใส่เข้าไปในเครื่อง ปิดฝาครอบ รอ5 วิ แล้วเปิดออก แล้วให้ถอดตลับ PG-40 ออก รอ 5 วิ ใส่เข้าไปใหม่ 4 . ให้ปิดฝาครอบเครื่อง ปิดเครื่องพิมพ์แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง 5. เปิดฝาครอบ ถอดตลับหมึก ออก เอาเทปกาวที่ปิดไว้ออก แล้วใส่ตลับหมึกเข้าไปใหม่ (สถานะจะบอกว่าหมึกเต็ม) 7 .ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ ถ้าจะ reset หมึกสื canon CL-41 ก็ทำดังนี้คับ 1 .โดยถอดปลั๊กไฟ AC ออก แล้วกดปุ่ม power บนเครื่องพิมพ์ค้างไว้ แล้วเสียบปลั๊ก ปล่อยปุ่ม power กดปุ่ม power 1 ครั้ง เครื่องพิมพ์ก็เข้าสู่ service mode 2 .ก่อนที่จะ reset ให้เปิด status หรือ สถานะของเครื่องพิมพ์ขึ้นมาไว้ดูก่อน 3 .ให้ใช้เทปกาวปิดที่คอนแท็กแถวที่1 จากบนลงมา ที่ตลับ PG-40 แล้วใส่เข้าไปในเครื่อง ปิดฝาครอบ รอ5 วิ แล้วเปิดออก แล้วให้ถอดตลับ CL-41 ออก รอ 5 วิ ใส่เข้าไปใหม่ 4 . ให้ปิดฝาครอบเครื่อง ปิดเครื่องพิมพ์แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง 5. เปิดฝาครอบ ถอดตลับหมึก ออก เอาเทปกาวที่ปิดไว้ออก แล้วใส่ตลับหมึกเข้าไปใหม่ (สถานะจะบอกว่าหมึกเต็ม) 6 .ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ |